เลือกซื้อเพชร ประเมินคุณภาพเพชรตามหลัก 4Cs

“4Cs” ถือได้ว่าเป็นหลักการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของเพชรตามมาตรฐานสากลระดับโลก ซึ่งหลักการนี้ถูกคิดค้นขึ้นจากสถาบัน GIA (Gemological Institute of America) และ International Diamond Grading System™ ตั้งแต่ปี 1940 ซึ่งหลักการ 4Cs มีดังต่อไปนี้

1. CUT : คุณภาพของการเจียระไน

C – Cut คือคุณภาพของการเจียระไนเพชร เสน่ห์และความงามของเพชรแต่ละเม็ดขึ้นอยู่กับคุณภาพการเจียระไน หมายความว่ายิ่งหน้าเพชรแสดงปฏิกิริยาต่อแสงได้ดีเพียงใดก็ยิ่งถือได้ว่าเป็นงานศิลปะและงานฝีมือของการเจียระไนเพชรที่มากความสามารถมากขึ้นเท่านั้น

การจัดเกรดเพชรเจียระไน มีองค์ประกอบที่สำคัญๆ ดังนี้

• ความสว่าง – แสงสีขาวภายในและภายนอกที่สะท้อนจากเพชร
• ไฟ – การกระจายของแสงสีขาวเป็นสีของสเปกตรัม
• การส่องประกายระยิบระยับ – ปริมาณของประกายไฟที่เพชรสร้างขึ้น รูปแบบของแสงและบริเวณที่มืด และเกิดการกะพริบของแสงเมื่อเพชรเกิดการขยับ
• อัตราส่วนน้ำหนัก
• ความทนทาน
• การขัดเงา
• ความสมมาตร

ซึ่งจะต้องอาศัยทั้งการออกแบบและงานฝีมือเป็นหลัก ในระบบของ GIA ส่วนประกอบแต่ละชิ้นจะได้รับการประเมินแยกกัน โดยคำนึงถึงความสำคัญของส่วนประกอบนั้นต่อคุณภาพการเจียระไนเพชร เกรดการเจียระไนแต่ละเกรดตามสเกลสัมพัทธ์จากดีเยี่ยมถึงแย่ (Excellent – Poor)

2. CLARITY : ความสะอาดของเพชร

C – CLARITY คือระดับความบริสุทธิ์ของเพชร หรือความสะอาดของเพชร เพราะการที่เพชรไม่มีตำหนิหรือมีตำหนิน้อยที่สุด จะยิ่งส่งผลต่อมูลค่าของเพชรเม็ดนั้น เพชรทุกเม็ดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งในใบเซอร์เพชรจะได้รับการกำหนดเกรดความใสตั้งแต่ไร้ตำหนิ (FL) ไปจนถึงเพชรที่มีตำหนิชัดเจน (I3) ซึ่งเพชรไร้ตำหนิจะหาได้ยากเป็นพิเศษ มาตราส่วนความชัดเจนของ GIA ประกอบด้วย 11 เกรด โดยเพชรส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดหมู่ VS (รวมเล็กน้อยมาก) หรือ SI (รวมเล็กน้อย) ในการพิจารณาระดับความชัดเจน ระบบ GIA จะพิจารณาจากขนาด ลักษณะ ตำแหน่ง สีหรือความนูน และปริมาณของลักษณะความชัดเจนที่มองเห็นได้ภายใต้การขยาย 10 เท่า

มาตราส่วนความชัดเจนของ GIA ประกอบด้วย 11 เกรด ดังต่อไปนี้

• Flawless (FL) – ไม่มีรอยตำหนิ แม้ว่าจะใช้แว่นขยายส่องเข้าไปถึง 10 เท่า
• Internally Flawless (IF) – ไม่มีตำหนิใดๆ มีเพียงตำหนิภายนอกเท่านั้น ซึ่งต้องใช้แว่นขยายส่องเข้าไปถึง 10 เท่า
• Very, Very Slightly included (VVS1 และ VVS2) – มีตำหนิอยู่ภายใน แต่สังเกตได้ยาก แม้จะใช้แว่นขยายส่องเข้าไป 10 เท่าก็ตาม
• Very Slightly Included (VS¹ และ VS²) – มีตำหนิอยู่ภายใน มองหาได้ยาก เมื่อใช้กล่องส่องขยาย 10 เท่า
• Slightly Included (SI¹ และ SI²) – มีตำหนิอยู่ภายใน สังเกตได้ง่าย เมื่อใช้กล่องส่องขยาย 10 เท่า
• Included (I¹, I², และ I³) – มีตำหนิที่เห็นได้ชัด เมื่อมองด้วยตาเปล่า หรือส่องด้วยกล้องขยาย 10 เท่า และอาจส่งผลต่อความโปร่งใส ความสว่าง และการกระจายแสง

3. COLOR : สีเพชร หรือน้ำเพชร

C – Color คือสีของเพชร หรือที่เราคุ้นชินคือคำว่า “น้ำ” ซึ่งการประเมินค่าของน้ำเพชร ในแต่ละช่วงสี เราจะใช้ D-Z ในการประเมินค่า โดยเทียบเคียงกับความไร้สี ยิ่งมีสีน้อย มูลค่ายิ่งสูง

สีของเพชร (Color Grading) เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่คุณมองไม่เห็น เพชรมีมูลค่าใกล้เคียงกับความไร้สีมากน้อยเพียงใด ยิ่งมีสีน้อย มูลค่าของเพชรก็จะยิ่งสูงขึ้น (ยกเว้นเพชรสีแฟนซี เช่น เพชรสีชมพู, เพชรสีน้ำเงิน จะอยู่นอกเหนือกับช่วงสีนี้) เพชรส่วนใหญ่ที่พบในร้านขายเครื่องประดับมีตั้งแต่ไม่มีสีไปจนถึงไม่มีสี โดยจะมีสีเหลืองหรือน้ำตาลเล็กน้อย

ระดับสีสำหรับเพชรของ GIA เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม สเกลเริ่มต้นด้วยตัวอักษร D ซึ่งแสดงถึงการไม่มีสี และดำเนินต่อไปด้วยการเพิ่มสีให้กับตัวอักษร Z หรือสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาล ตัวอักษรแต่ละตัวมีช่วงของสีที่ชัดเจน เพชรได้รับการจัดเกรดสี

4. CARAT WEIGHT : น้ำหนักเพชร

C – Carat Weight คือน้ำหนักของเพชรและอัญมณี ซึ่งจะมีน้ำหนักเป็นหน่วย กะรัต ถ้าหากเพชรยิ่งมีขนาดใหญ่มูลค่าก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย ยกตัวอย่างน้ำหนักของเพชร เช่น

1 กะรัต มีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ = 0.2 กรัม

จะเลือกซื้อเครื่องเพชรทั้งที เลือกแบบธรรมดาตามความชอบอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คงจะดีกว่าถ้าเรารู้หลักการประเมินคุณภาพของเพชรหรือการแบ่งเกรดเพชรเพื่อเพิ่มความมั่นใจในเครื่องประดับที่เราสวมใส่

หากคุณมีเครื่องประดับเพชร พลอย ทองคำ งานโบราณ สร้อยสังวาลย์ หรือชุดเครื่องเพชรทุกแบบทุกชนิด เราพร้อมรับซื้อ รับฝากขาย หรือสนใจดูเครื่องเพชรชิ้นใหม่ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ ติดต่อร้านเพชรพรพุฒิ Add Line: @petchpornput โทร. 084-171-7178